วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2560 ) นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ได้แถลงผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ ประจำปี 2561 (Ease of Doing Business 2018) โดยธนาคารโลก ประจำปี 2018 ในปีนี้ประเทศไทยได้รับการจัดลำดับเป็นที่ 26 จาก 190 ประเทศทั่วโลก ซึ่งลำดับของประเทศไทยดีขึ้น 20 อันดับจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ 46 โดยมีผลคะแนน DTF (Distance of Frontier) เป็นร้อยละ 77.44 เพิ่มจากปีที่ผ่านมา ที่ได้คะแนน 72.53 ถือเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากประเทศสิงค์โปร์ และประเทศมาเลเซีย ที่สำคัญประเทศไทย เป็น 1 ใน 10 ประเทศ ที่มีการปรับปรุงมากที่สุด ซึ่งสูงเป็นลำดับที่สองจากประเทศบรูไนที่มีความก้าวหน้าในการปรับปรุงบรรยากาศทางธุรกิจมากที่สุด การจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ ของธนาคารโลกดังกล่าว มีการจัดอันดับเป็นประจำทุกปี โดยวัดผลจากประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของหน่วยงานราชการ โดยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับในรายงานดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยมีตัวชี้วัดในการจัดอันดับ 10 ตัวชี้วัด ทั้งนี้ กรมบังคับคดีมีภารกิจที่เกี่ยวข้องในส่วนที่เกี่ยวกับตัวชี้วัดที่ 9 การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contracts) โดยดำเนินการร่วมกับสำนักงานศาลยุติธรรม และตัวชี้วัดที่ 10 การแก้ไขปัญหาการล้มละลาย (Resolving Insolvency) สำหรับผลการจัดอันดับในตัวชี้วัดที่ 9 การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contracts) โดยดำเนินการร่วมกับสำนักงานศาลยุติธรรม ประเทศไทยได้รับการจัดลำดับที่ดีขึ้น เป็นลำดับที่ 34 ดีขึ้นมากถึง 17 ลำดับ (ปีที่ผ่านมาอยู่ในลำดับที่ 51) และเป็นที่ 2 ของอาเซียน รองจากประเทศสิงค์โปร์ (ปีที่แล้วประเทศไทยเป็นลำดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากประเทศสิงค์โปร์ และมาเลเซีย) สำหรับคะแนน DTF เป็นร้อยละ 67.91 คะแนน ดีขึ้นจากปีที่แล้ว ร้อยละ 2.40 (ปีที่แล้วได้ร้อยละ 65.51 ) คะแนนที่ดีขึ้นเนื่องจากระยะเวลาในการบังคับคดีลดลง 20 วันเป็น 100วัน จาก 120 วัน และค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีลดลง ร้อยละ 0.4 เป็น ร้อยละ 2.6 จาก ร้อยละ 3 อย่างชัดเจน.และดัชนีคุณภาพกระบวนการยุติธรรม ได้คะแนนเพิ่มขึ้น 1 คะแนน เป็นร้อยละ 8.5 จากปีที่แล้วที่ได้ร้อยละ 7.5 โดยเป็นผลจากการที่ศาลยุติธรรมมีระบบการจ่ายค่าธรรมเนียมศาลทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่ผ่านมาที่ธนาคารโลกยอมรับว่านลระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีลดลง ซึ่งธนาคารโลกระบุว่าระยะเวลาการบังคับคดีที่ลดลง เพราะมีการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ และกระบวนการบังคับคดีมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และในตัวชี้วัดที่ 10 การแก้ไขปัญหาการล้มละลาย (Resolving Insolvency) ประเทศไทยได้รับการจัดลำดับที่ 26 ลดลงจากปีที่แล้ว 3 ลำดับ (ปีที่แล้วอยู่ที่ลำดับ 23) แต่ยังคงเป็นที่1 ของอาเซียน โดยได้คะแนน DTF เป็นร้อยละ 75.64 ดีขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 1.69 (ปีที่แล้วได้ร้อยละ 73.95) สำหรับการแก้ไขปัญหาการล้มละลาย ตัวชี้วัดที่ 10 โดยมีผลคะแนนที่ดีขึ้นมาจากอัตราการรวบรวมทรัพย์คืนให้แก่เจ้าหนี้ได้สูงขึ้น เป็น ร้อยละ 68 สูงขึ้นร้อยละ 0.3 จากเดิมในปีที่แล้วได้ร้อยละ 67.7 อนึ่งในส่วนของกรอบความเข้มแข็งของกฎหมายที่ปีนี้ได้คะแนน 12.5 ลดลงจากปีที่แล้ว 0.5 คะแนน ซึ่งกรมบังคับคดีจะได้สอบถามไปยังธนาคารโลกถึงสาเหตุ ด้วยพบว่าเป็นคำถามข้อที่ประเทศไทยได้รับคะแนนเต็ม 1 มาโดยตลอด ผลการประเมินของประเทศที่ดีขึ้นในปีนี้ เป็นผลโดยตรงจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1) นโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กำหนดให้เป็นประเด็นสำคัญของการปฏิรูป (Reform Agenda) 2) การออกคำสั่ง คสช ที่ 21/2560 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 ที่ปรับปรุงกฎหมายสำคัญ 5 ฉบับ รวมทั้งพรบ. ล้มละลาย และ 3) ส่วนราชการต่างๆได้มีการพัฒนาโดยการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการปฎิบัติงานมากขึ้น