Page 82 - รายงานประจำปี 2563 กรมบังคับคดี
P. 82
ตกลงขายที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ไม่เคยรับมัดจ�า ที่ดินไว้แก่นายภัทรพรบิดาโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.11
จ�านวน 200,000 บาท จากโจทก์ในวันท�าสัญญาจะซื้อ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2532 มีก�าหนด ไถ่ถอน 3 ปี
จะขายโจทก์ก็ทราบดีว่าทรัพย์พิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งจะครบก�าหนดในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2535 แต่ต่อมา
เป็นกรรมสิทธิ์ของนายภัทรพร จ�าเลยมิใช่เจ้าของ เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2533 ซึ่งยังอยู่ภายในก�าหนด
ทรัพย์สินจึงไม่มีอ�านาจท�าสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ เวลาไถ่ถอนตามสัญญาขายฝาก จ�าเลยได้ท�าสัญญา
แต่เนื่องจากจ�าเลยถูกนายภัทรพรฉ้อฉลจนหลงเชื่อจึง ต่างตอบแทนกันเองระหว่างจ�าเลยกับนายภัทรพร
ได้มีหลักฐานขึ้นและให้มีสัญญาจะซื้อจะขายลงวัน ตามเอกสารหมาย ล.3 ว่าจ�าเลยไม่ประสงค์จะไถ่ถอน
ที่ 12 สิงหาคม 2532 ระหว่างโจทก์กับจ�าเลย ค�าขอ และขอสละสิทธิ์ในการไถ่ถอนทรัพย์พิพาท อันถือได้ว่า
ท้ายฟ้องไม่ชัดแจ้งว่าเป็นเงินค่าอะไร ศาลไม่สามารถออก ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการขายขาดทรัพย์พิพาทให้แก่
ค�าบังคับให้จ�าเลยปฏิบัติตามค�าขอของโจทก์ได้จึงเป็นฟ้อง นายภัทรพรผู้ซื้อฝากโดยท�าสัญญากันเอง สัญญา
เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง. ขายขาดฉบับหลังนี้จึงไม่เกิดผลเป็นสัญญาซื้อขายที่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จ�าเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้น จ�าเลยผู้ขายฝากจึงยัง
โฉนดเลขที่ 44167 ต�าบลลาดยาว (บางเขนฝั่งใต้) มีสิทธิไถ่ถอนการขายฝากรายนี้ได้ภายในก�าหนดเวลา
อ�าเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ไถ่ถอนตามสัญญาขายฝากอยู่ ดังนั้น ภายในก�าหนด
53 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 60/1 แก่โจทก์ ระยะการขายฝากจ�าเลยย่อมมีสิทธิน�าทรัพย์พิพาทไป
โดยให้จ�าเลยเป็นผู้ช�าระค่าภาษีอากรและ ท�าสัญญาจะซื้อจะขายให้แก่โจทก์ได้ ทั้งนี้ตามประมวล
ค่าธรรมเนียมการโอน หากจ�าเลยเพิกเฉยไม่ยอมไป กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 497 ก็ยังได้ก�าหนด
จดทะเบียนให้โจทก์ให้ถือเอาค�าพิพากษาแทนการแสดง บุคคลที่จะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากไว้และใน (2)
เจตนาของจ�าเลยและให้จ�าเลยรับเงินค่าที่ดินและ ก�าหนดให้ผู้รับโอนสิทธินั้นมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้นได้ด้วย
บ้านที่เหลือจ�านวน 430,000 บาท ไปจากโจทก์ เมื่อจ�าเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับ
หากจ�าเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านให้ โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะ
แก่โจทก์ได้ไม่ว่ากรณีใดๆ ให้จ�าเลยชดใช้เงินแก่โจทก์ ผู้รับโอนสิทธิตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
จ�านวน 497,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 มีสิทธิไถ่ทรัพย์พิพาทได้ด้วยสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน
ต่อปี จากต้นเงิน 400,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง ตามเอกสารหมาย จ.1 จึงมีผลสมบูรณ์และบังคับได้
จนกว่าจะช�าระเสร็จแก่โจทก์ ค�าขออื่นนอกจากนี้ ตามกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกา
ให้ยก โจทก์และจ�าเลยอุทธรณ์ โดยจ�าเลยได้รับ เห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจ�าเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น"
อนุญาตให้ด�าเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
พิพากษายืน จ�าเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ด�าเนิน
คดีอย่างคนอนาถา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่จ�าเลยฎีกา เอกสารอ้างอิง
ประการต่อมาว่า โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจ�าเลยมิใช่ * พระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการท�าสัญญา
เจ้าของทรัพย์สินพิพาทเพราะขณะท�าสัญญาจะซื้อจะขาย ขายฝากที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. 2562
ทรัพย์พิพาทจ�าเลยขายฝากทรัพย์พิพาทแก่บิดาโจทก์ * ระเบียบกรมที่ดิน ว่าด้วยการวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่
ไปแล้วนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ณ ส�านักงานที่ดิน ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองประชาชน
มาตรา 491 บัญญัติว่า "ขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขาย ในการท�าสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย
ซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลง พ.ศ. 2562
กันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคือได้" ดังนั้น สัญญา * ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ขายฝากจึงเป็นสัญญาซึ่งผู้ซื้อรับโอนกรรมสิทธิ์ใน * ค�าพิพากษาฎีกาที่ 4729/2543 :
ทรัพย์สินที่ขายฝากไปจากผู้ขายฝากโดยมีเงื่อนไข
บังคับหลังว่า เมื่อผู้ขายฝากมาไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากคืน
ภายในก�าหนดระยะเวลาขายฝากแล้ว กรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์ที่ขายฝากก็จะเปลี่ยนมือกลับมาเป็นของผู้ขาย
ฝากตามเดิม ดังนั้น การที่จ�าเลยท�าสัญญาขายฝาก
81