ปฏิเสธไม่ได้ว่า
ในปัจจุบัน เงินพลาสติก หรือที่รู้จักกันดีในนาม บัตรเครดิต
(Credit card) เป็นที่แพร่หลายอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะบัตรเครดิตสามารถตอบสนองการใช้ชีวิตของคน
ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่เพิ่มเป็นเงาตามตัวกับจำนวนผู้ใช้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น
ก็คือ การผิดนัดชำระหนี้หรือกล่าวง่าย ๆ ว่ามีการชักดาบหนี้บัตรเครดิตเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ประเดิมเรื่องแรกสำหรับคอลัมน์นี้ จึงขอเลือกที่จะนำเสนอข้อกฎหมายอันเกี่ยวข้องในคดีบัตรเครดิต
สำหรับประเด็นเรื่อง เขตอำนาจศาลและอายุความ ดังนี้ ประเด็นแรก
: เขตอำนาจศาลในคดีบัตรเครดิต
กรณีบัตรเครดิตนั้น มิได้มีบทบัญญัติของกฎหมายระบุเขตอำนาจศาลโดยเฉพาะไว้
ในการเสนอคำฟ้องต่อศาลจึงต้องใช้บทบัญญัติทั่วไปเรื่องเขตอำนาจศาลตามมาตรา
4 (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กล่าวคือ การเสนอคำฟ้องสามารถเสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิด
โดยมิจำต้องคำนึงถึงภูมิลำเนาจำเลย สำหรับฎีกาที่นำเสนอนี้
โจทก์เลือกที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิด ดังนั้น
สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ คำว่า มูลคดี หมายความว่าอย่างไร
เพื่อที่จะนำเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ถูกต้องต่อไปได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่
(ประชุมใหญ่) 7788/2546
คำว่า มูลคดี หมายถึง
ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง
ดังนั้น การที่ธนาคารโจทก์ฟ้องว่า ในทางบัญชีหลังจากจำเลยได้ทำสัญญาและรับบัตรเครดิตไปจากโจทก์
จำเลยใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าและบริการหลายครั้งหลายหน
ซึ่งในสำเนาใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิตระบุว่า สถานที่รับบัตรเครดิตคือธนาคารโจทก์สาขาหนองคาย
มิใช่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ การอนุมัติและการออกบัตรเครดิตจึงเป็นเพียงขั้นตอนปฏิบัติระหว่างโจทก์สำนักงานใหญ่กับสาขาหนองคาย
เมื่อจำเลยทำสัญญาและรับบัตรเครดิตจากโจทก์สาขาหนองคายอันเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ที่จำเลยจะสามารถนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ชำระหนี้ค่าสินค้าและบริการจนเป็นเหตุพิพาท
ซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิและมูลหนี้ตามฟ้อง หากปราศจากเหตุและขั้นตอนสุดท้ายดังกล่าว
โจทก์และจำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับบัตรเครดิตหรือสินเชื่อต่อกัน
ดังนั้น มูลคดีนี้จึงมิได้เกิดในเขตศาลชั้นต้นอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของโจทก์
แต่เกิดในเขตศาลที่ธนาคารโจทก์สาขาหนองคายตั้งอยู่
ประเด็นสำคัญสำหรับฎีกานี้ คือ ความหมายของคำว่า มูลคดี
ซึ่งหมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง
ซึ่งศาลฎีกาได้วางแนวสำหรับกรณีบัตรเครดิตไว้ว่า สถานที่ที่จำเลยทำสัญญาและรับบัตรเครดิตจากโจทก์
คือ สถานที่ ที่มูลคดีเกิด เนื่องจากถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จำเลยจะสามารถนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ชำระหนี้ค่าสินค้าและบริการจนเป็นเหตุพิพาท
ซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิ มิใช่สำนักงานใหญ่ซึ่งเป็นเพียงสถานที่อนุมัติและออกบัตรเครดิตอันเป็นเพียงขั้นตอนปฏิบัติภายในของธนาคารโจทก์เท่านั้น
ประเด็นที่สอง : การเริ่มนับอายุความและอายุความสำหรับคดีบัตรเครดิต
การเริ่มนับอายุความและอายุความสำหรับคดีบัตรเครดิตนั้นยังคงมีความสับสนอยู่มากในประเด็นว่า
อายุความจะเริ่มนับเมื่อใดและมีอายุความกี่ปี ซึ่งถือเป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งเนื่องจากสิทธิเรียกร้องใด
ๆ ก็ตามถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
ถือได้ว่าสิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความและลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้
ทั้งนี้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ในคดีบัตรเครดิตจะเริ่มนับอายุความเมื่อใดนั้น ศาลฎีกาได้วางแนวไว้ว่า
หนี้บัตรเครดิตไม่จำต้องมีการทวงถามหรือบอกเลิกสัญญาก่อน
โจทก์สามารถบังคับให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวได้ทั้งหมดทันที
ผลคือ อายุความย่อมเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป
ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 193/12 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ดังนั้น คดีบัตรเครดิตโดยทั่วไปเมื่อเจ้าหนี้ได้แจ้งกำหนดการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ทราบแล้ว
ครั้นถึงกำหนดลูกหนี้ไม่ชำระอายุความจะเริ่มนับทันทีในวันถัดไป
เว้นแต่ เป็นกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น ลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้หรือชำระหนี้ให้บางส่วน
เป็นต้น ในส่วนระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนหน้าที่อายุความสะดุดหยุดลงนั้นไม่นับเข้าในอายุความ
และจะเริ่มนับอายุความใหม่ต่อเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้สิ้นสุดทั้งนี้ตามมาตรา
193/15 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
อายุความคดีบัตรเครดิตนั้น ศาลฎีกาถือว่าบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตมีวัตถุประสงค์ให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลทั่วไปในรูปของบัตรเครดิต
ซึ่งจะออกบัตรให้แก่สมาชิกเพื่อให้สมาชิกนำบัตรไปซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ตกลงรับบัตร
โดยไม่ต้องชำระราคาสินค้าเป็นเงินสดเพราะบริษัทจะเป็น
ผู้ชำระเงินแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินในภายหลัง
ประกอบกับการที่บริษัทได้เรียกเก็บ ค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมรายปีจากสมาชิก
บริษัทจึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกและได้เรียกเอาค่าที่บริษัทได้ออกเงินทดรองไป
จึงเป็นกรณีตามมาตรา 193/34 (7) ซึ่งกำหนดให้สิทธิเรียกร้องในกรณีดังกล่าว
มีอายุความสองปี และเพื่อให้เกิดความชัดเจนขอยกคำพิพากษาศาลฎีกาที่
5092/2547 ประกอบการพิจารณาในประเด็นนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่
502/2547
จำเลยที่ 1 ใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่
14 สิงหาคม 2539 และชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้ายในวันที่
21 สิงหาคม 2539 ซึ่งตามใบแจ้งยอดการใช้บัตรเครดิตได้กำหนดให้จำเลยที่
1 ชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวันที่ 7 ตุลาคม 2539 แต่จำเลยที่
1 ไม่ชำระ โจทก์ย่อมบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ได้ทั้งหมดทันที
โดยไม่ต้องมีการทวงถามหรือบอกเลิกสัญญาก่อน อายุความจึงเริ่มนับแต่วันที่
8 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไป
จำเลยที่ 2 ใช้บัตรเสริมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์
2540 หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ตามใบแจ้งยอดการใช้บัตรเครดิตกำหนดให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวันที่
5 มีนาคม 2540 แต่จำเลยที่ 2 ไม่ชำระ โจทก์ย่อมบังคับให้จำเลยที่
2 ชำระหนี้ได้ทันที โดยไม่จำต้องทวงถามหรือบอกเลิกสัญญาก่อน
อายุความสำหรับจำเลยที่ 2 จึงเริ่มนับแต่วันที่ 6 มีนาคม
2540 เป็นต้นไป
โจทก์มีวัตถุประสงค์ให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลทั่วไปในรูปของบัตรเครดิตโดยออกบัตรให้แก่สมาชิก
แล้วสมาชิกสามารถนำบัตรไปซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ตกลงรับบัตร
โดยไม่ต้องชำระราคาสินค้าเป็นเงินสด โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลัง
ซึ่งโจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมรายปีด้วย
โจทก์จึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก การที่โจทก์ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลัง
เป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป จึงมีอายุความสองปี
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7)
ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่
2 จำเลยทั้งสองจึงเป็นลูกหนี้ร่วม มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้
การที่จำเลยที่ 1 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่
2 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกัน ศาลจึงพิพากษายกฟ้องไปถึงจำเลยที่
2 ด้วยได้
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในคดีบัตรเครดิตที่นำเสนอนี้
ผู้ใดจะนำไปใช้ผู้เขียนก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใด แต่อยากจะฝากข้อคิดสักนิดว่า
หากท่านใช้จ่ายแต่พอตัวแล้วละก็ รับรองได้ว่าจะไม่ต้องมาปวดเศียรเวียนเกล้าเรื่องใช้หนี้ใช้สินใครแน่นอน
|